วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555


                 ก)  สักกายทิฏฐิ  ความเห็นว่าเป็นตัวตน  ความเห็นว่าที่ยังติดแน่นในสมมติว่าเป็นตัวตน  เราเขา  เป็นนั่นเป็นนี่  มองไม่เห็นสภาพความจริงที่สัตว์บุคคลเป็นเพียงองค์ประกอบต่าง ๆ มาประชุมกันเข้าทำให้มีความเห็นแก่ตัวในขั้นหยาบ  และความรู้สึกกระทบกระทั่งบีบคั้นเป็นทุกข์ได้อย่างรุนแรง
                        ข)  วิจิกิจฉา  ความลังเล  สงสัย  เคลือบแคลงต่าง ๆ  เช่น  สงสัยในพระศาสดา  สงสัยในพระธรรม  สงสัยในพระสงฆ์  ในสิกขา  ในเรื่องที่มาที่ไปของชีวิต  ในปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น  ทำให้ไม่มั่นใจไม่เข้มแข็งแกล้วกล้าที่จะดำเนินชีวิตตามหลักธรรม  ด้วยความมีเหตุผล  และในการที่จะเดินหน้าแน่วดิ่งไปในอริยมรรคา
                        ค)  สีลัพพตปรามาส  ความถือมั่นศีลพรต คือ  ความยึดถือผิดพลาดไปว่า จะบริสุทธิ์  หลุกพ้นได้เพียงด้วยศีลและพรต  ได้แก่  การถือศีล  ระเบียบ  แบบแผน  บทบัญญัติ  และข้อปฏิบัติต่าง ๆ โดยสักว่าทำตาม ๆ กันไปอย่างงมงาย  เห็นเป็นขลังหรือศักดิ์สิทธิ์  ติดอยู่แค่รูปแบบหรือพิธีรีตอง  ถือด้วยตัณหาและทิฏฐิ  คือปฏิบัติเพราะอยากได้ผลประโยชน์อย่าง

















สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ

                    การศึกษาเรื่อง ศึกษาคำสอนวิปัสสนาภาวนา เฉพาะกรณีคำสอนของพระปัญญาวโร มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ  คือ เพื่อศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท  ศึกษาคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร และศึกษาความสอดคล้องคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโรกับที่มาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท  โดยการศึกษาเนื้อหาหลักวิปัสสนาภาวนา ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท คือ พระไตรปิฎก อรรถกา ฎีกา คัมภีร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นต้น และเอกสารคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร เอกสารคำบรรยายภาคภาษาอังกฤษ โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ในอุปถัมภ์โครงการทุนเล่าเรียนหลวง สำหรับพระสงฆ์ไทย  ระหว่างวันที่  ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ – ๑๑  กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔    โดยการแปลเรียบเรียงข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้องเนื้อหา โดยผู้เชี่ยว บรรยายสรุปเชิงพรรณนา

๕.๑     สรุปผลการวิจัย
                    ๕.๑.๑    จากการศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พบว่า  วิปัสสนาภาวนา คือ การอบรมจิตเพื่อให้เกิดโลกุตตรปัญญา ได้แก่มรรคญาณ ผลญาณ  โดยมีแนวทางในการอบรมจิต ๒  แบบ คือ สมถยานิกะ และวิปัสสนายานิกะ
                    ก)        สมถยานิกะ  คือ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา โดยการปฏิบัติสมถะคือ การอบรม จิตให้เกิดสมาธิ ๒ ประการ คือ อุปจารสมาธิ สมาธิเข้าใกล้เฉียดองค์ฌาน และ อัปปนาสมาธิ สมาธิ แนบแน่นอยู่กับองค์ฌาน ๕  คือ  วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา  โดยผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติสมถะโดย อาศัยอารมณ์สมถะ ๔๐ ประการ จนเกิดวสีภาวะ ๕ ประการ คือ อาวัชชนวสี ชำนาญในการคำนึงถึง  สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้า  อธิฏฐานวสี ชำนาญในการตั้งมั่น 
วุฏฐานวสี ชำนาญในการออก และปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการพิจารณา      เมื่อเกิดวสีภาวะทั้ง ๕ แล้ว พระโยคีบุคคลก็ย่อมสามารถยกจิตออกจากองค์ฌาน  พิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็นขันธ์ ๕ ได้แก่รูป - นาม ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และหาตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้  ทำให้เกิดมรรคจิต ผลจิต ตามลำดับญาณ  บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด  โดยท่านผู้บรรลุแนวทางนี้ เรียกว่า เจโตวิมุติ  ผู้บรรลุด้วยอาศัยการเจริญสมถะเป็นบาทของวิปัสสนา หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมถปุพพังคมวิปัสสนา คือ การเจริญวิปัสสนาโดยบำเพ็ญสมถะก่อน
                    ข)        วิปัสสนายานิกะ คือ การปฏิบัติที่มีอารมณ์เป็นวิปัสสนาล้วน คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘  อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒  อารมณ์ทั้ง ๖ หมวดนี้ เป็นแดนเกิดของปัญญา  เมื่อสงเคราะห์โดยย่อ ได้แก่ รูป และ นาม  พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  หาตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ การรับรู้รูป – นามนี้ จะต้องมีพัฒนาการเกิดขึ้นตามลำดับญาณ เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา  เกิดมรรคจิต ผลจิต บรรลุมรรคผลนิพพานได้ในที่สุด  โดยท่านผู้บรรลุแนวทางนี้ เรียกว่า ปัญญาวิมุติ  ผู้บรรลุด้วยอาศัยการเจริญวิปัสสนาล้วน หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาปุพพังคม  คือ การเจริญวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
            การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร คัมภีร์ทีฆนิกายมหาวรรค พระพุทธองค์แสดงวิธีปฏิบัติวิปัสสนา โดยในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาล้วนได้ ๓ ปัพพะ  คือ อิริยาปถปัพพะ, สัมปชัญญะ, และธาตุมนสิการปัพพะ   ส่วนอานาปานปัพพะ, ปฏิกูลปัพพะ, และนวสีวถิกาปัพพะ  จัดเป็นสมถะปนวิปัสสนา หมายความว่า จัดเป็นอารมณ์สมถะทำให้เกิดฌานก่อนแล้ว จึงยกเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภายหลัง  หลักปฏิบัติในส่วนของกายานุปัสสนาทั้งหมด ท่านสงเคราะห์เข้าในรูปขันธ์
                      สติปัฏฐาน ๓ หมวดที่เหลือ คือ  เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน  สงเคราะห์เข้าในเวทนาขันธ์  จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สงเคราะห์เข้าในวิญญาณขันธ์  ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานสงเคราะห์เข้าในสัญญาและสังขารขันธ์  ทั้ง ๓ หมวดนี้ จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาล้วน ๆ
                      จากการศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่า มีแนวทางในการเจริญวิปัสสนา ๒ แบบ คือ สมถยานิกะ และวิปัสสนายานิกะ แม้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค  จะแสดงการหลักการปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตต์ ด้วยมรรคใดมรรคหนึ่ง ใน ๔ แบบนี้  คือ  ๑.  สมถปุพพังคมวิปัสสนา  เจริญวิปัสสนามีสมถะนำหน้า   ๒.วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ  เจริญสมถะมีวิปัสสนานำหน้า ๓. สมถวิปัสสนายุคนัทธะ เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป  ๔.  ธัมมุทธัจจะวิปัสสนา  เจริญวิปัสสนาละความฟุ้งซ่านภายใน
                      แม้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค จะแสดงแนวทางการเจริญวิปัสสนาไว้ ๔ แบบ เมื่อศึกษาในคัมภีร์อรรถกถา มโนรถปูรณี และอังคุตตรฎีกา สารัตถมัญชุสา  พบว่า สงเคราะห์แบบที่ ๓ และ แบบที่ ๔ เข้าใน ๒ แบบข้างต้น  คือ  แบบที่ ๑  สมถปุพพังคมะ เจริญวิปัสสนาที่มีสมถะเป็นเบื้องต้น แสดงไว้ด้วยอำนาจของสมถยานิกะบุคคล  แบบที่ ๒ วิปัสสนาปุพพังคมะ เจริญสมถะที่มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น แสดงไว้ด้วยอำนาจของวิปัสสนายานิกะบุคคล คือผู้ที่ได้เจริญวิปัสสนาล้วน จนพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์แล้ว แล้วมาเจริญฌาน คือ สมาธิ หรือให้สมถะเกิดขึ้นในภายหลัง จนกระทั่งได้สมาบัติ ๘ อย่าง  แบบที่ ๓ สมถวิปัสสนายุคนัทธ เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป  แสดงไว้ด้วยอำนาจการเข้าฌานเมื่อออกจากฌานแล้ว ก็พิจารณาสังขาร ทั้งหลาย หมายความว่า เข้าปฐมฌานได้ ออกจากปฐมฌานแล้ว ก็พิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว ก็เข้าทุติยฌาน  เป็นลำดับไป   แบบที่ ๔ ธัมมุทธัจจะวิปัสสนา  เจริญวิปัสสนาละความฟุ้งซ่านภายใน  ความฟุ้งซ่านภายใน หมายถึง ความเศร้าหมองของวิปัสสนา คือ อุปกิเลส ๑๐ ประการ  หมายถึง ขณะผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนาไปจนกระทั่งถึงอุทยัพพยญาณ หรือ  ตีรณปริญญา ถ้าเกิดอุปกิเลสของวิปัสสนา ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น หากไปมนสิการ ถึงอุปกิเลสดังกล่าวนั้น ก็จะทำให้เกิดความสนใจพอใจในแสงสว่างเป็นต้นนั้น จิตก็จะฟุ้งซ่านตกจากวิปัสสนาวิถีไป ไม่อาจที่จะเห็นพระไตรลักษณ์ได้โดยชัดเจน ดังนั้นจำเป็นต้องปลูกโยนิโสมนสิการ ให้ตั้งมั่นอยู่แต่เฉพาะลักษณะของรูปนามเท่านั้นเอง
                      ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า แนวทางการเจริญวิปัสสนา ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีแนวทางการเจริญวิปัสสนา ๒ แบบ คือ สมถยานิกะ  และ วิปัสสนายานิกะ  โดยสงเคราะห์แบบที่ ๓ และ ๔ ที่ปรากฏในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค เพราะเมื่อศึกษาถึงอารมณ์ของการปฏิบัติ ก็สงเคราะห์ เข้าใน ๒  แบบข้างต้นดังปรากฏข้อความในอรรถและฎีกา

                      ๕.๑.๒  จากการศึกษาคำสอนวิปัสสนาของพระปัญญาวโร ที่ปรากฏในเอกสารโครงการฝึกอบรม พระวิปัสสนาจารย์  ในอุปถัมภ์โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย  ภาคภาษาอังกฤษ   โดยผู้ศึกษาได้แปล เรียบเรียง นำเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาตรวจสอบ พร้อมทั้ง ได้ศึกษาประวัติ ประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร พบว่า พระปัญญาวโร เป็นชาวออสเตรเลีย  ซึ่งเป็นชนชาติตะวันตกที่มีวัฒนธรรมห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ถึงกระนั้น ก็ตามด้วยความที่ท่านมีภูมิหลังในการศึกษาด้านมานุษยวิทยาและจิตวิทยา ทำให้ท่านสนใจแนวทาง คำสอนนักปรัชญา นักจิตวิทยาหลาย ๆ กลุ่ม  เมื่อได้รับรู้คำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้ท่านต้องการศึกษาโดยวิธีการทดลอง  ท่านได้ผ่านการอบรมเรื่องศีล คือ ฝึกหัดกาย วาจา ในฐานะของอุบาสกที่มีจิตอาสา ช่วยงานวัดและพระพุทธศาสนาในช่วงระยะเริ่มต้น  และเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมท่านได้เข้าบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา มีประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาจากหลาย ๆ อาจารย์ และเดินทาง เพื่อแสวงหาวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา ไทย พม่า    เมื่อได้รับอาราธนานิมนต์ เป็นพระวิปัสสนาจารย์  โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์  ในอุปถัมภ์ ทุนเล่าเรียนหลวง สำหรับพระสงฆ์ไทย  ระหว่างวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔  ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ตำบลหนองน้ำแดง  อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา  ท่านได้นำได้นำเสนอคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนาและวิธีปฏิบัติ  ผู้ศึกษาจึงได้รวบรวม และแปล สามารถสรุป เป็นประเด็นในการศึกษาดังนี้
                      บทที่ ๑      ขั้นตอนการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเบื้องต้น
                      บทที่ ๒     การส่งอารมณ์
                      บทที่ ๓     หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
                      บทที่ ๔     หลักปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔
                      บทที่ ๕     สติกับสมาธิ
         บทที่ ๖      สติสัมปชัญญะ
                      บทที่ ๗     การเกิดหรือไม่เกิดขึ้นของนิวรณ์ ๕
                      บทที่ ๘     อนุสัยกิเลสกิเลสที่แฝงลึกอยู่ในใจ
         บทที่ ๙      โพชฌงค์องค์ธรรมแห่งการตื่นรู้
                      บทที่ ๑๐   เมตตาภาวนา

                    ๕.๑.๓  ในการศึกษาความสอดคล้อง ระหว่างคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร กับที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท  ผู้ศึกษาได้กำหนดประเด็นในการศึกษา โดยอาศัยแนวทางการเจริญวิปัสสนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔  จากการศึกษาพบว่า
                      พระปัญญาวโร ได้ให้แนวทางการปฏิบัติตามประสบการณ์ตรงที่ท่านปฏิบัติวิปัสสนา ณ สำนักมหาสีสาสนยิกต้า ไว้ว่า ตามแนวทางที่ท่านมหาสี สยาดอ แห่งพม่าได้สั่งสอนไว้นั้น เมื่ออยู่ในท่านั่ง ผู้ปฏิบัติจะต้องเริ่มด้วยการสังเกตธาตุลมในท้อง ส่วนเมื่ออยู่ในท่าเดินจงกรม ก็ให้สังเกตดูความเคลื่อนไหว เมื่อเราตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นลำดับๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสังเกตดูการหายใจ ก็จะเห็นว่าลมหายใจนั้นแยกออกเป็นจังหวะๆ ซึ่งมีทั้งความเคลื่อนไหว, แรงกด, แรงกระเพื่อม และอาการอื่นๆ ที่แสดงตัวให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัด แม้แต่การก้าวเดินก็แสดงให้เห็นอาการที่แตกต่างอย่างเด่นชัดเช่นกัน เช่นความรู้สึกเท้าเบาหรือหนักเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละคน ไม่เหมือนกัน แต่รวมแล้วเรียกว่าสภาวะลักษณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องตามเฝ้าดูในขณะฝึกวิปัสสนาภาวนา
                      จากการศึกษาความสอดคล้องคำสอนของพระปัญญาวโร กับการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ยังพบว่า ท่านปัญญาวโร ได้แนะนำวิธีการเจริญเมตตาภานาอีกด้วย เพราะท่านเห็นว่า การเจริญเมตตาจะมีส่วนช่วยให้มีประสิทธิผลในการปฏิบัติวิปัสสนา  การปฏิบัติกรรมฐานแบบเมตตาภาวนา เป็นการอบรมจิตให้รู้จักเอาชนะเรื่องราวด้านลบใด ๆ ก็ตาม การภาวนาเช่นนี้จะนำมาซึ่งอารมณ์ความรู้สึกในทางบวก จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบด้วยการพัฒนาคุณภาพของการ “ยอมรับด้วยใจที่มีเมตตา” ซึ่งในที่นี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการยอมรับและการเปิดใจให้กว้าง ซึ่งจะสร้างพื้นที่อันแจ่มใสกว้างขวางขึ้นในใจเรา อันจะทำให้เรามีจิตที่นุ่มนวลระมัดระวังอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการปฏิบัติเมตตาภาวนาไปพร้อม ๆ กับวิปัสสนาภาวนา จึงเป็นองค์ส่งเสริมให้แก่นักปฏิบัติ


๕.๒   ข้อเสนอแนะ
            ๕.๒.๑       ข้อเสนอแนะในการนำข้อมูลไปใช้
                                ในการศึกษาครั้งนี้  ผู้ศึกษามุ่งประเด็นศึกษาเฉพาะแนวทางการเจริญวิปัสสนา ภาวนาที่มีอารมณ์ ๒ แบบ คือ ๑. แบบสมถยานิกะ คือ อาศัยอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ โดยอาศัยอารมณ์สมถะ ๔๐ ประการ  แต่ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้นำเสนอเพียงหลักการปฏิบัติของ สมถะที่อาศัยองค์ฌาน พิจารณาองค์ฌานโดยความเป็นพระไตรลักษณ์เท่านั้น  มิได้นำเสนอวิธีการปฏิบัติในอารมณ์สมถะทั้ง ๔๐  ประการ ดังนั้น หากจะมีการนำข้อมูลไปอ้างอิงในเชิงวิชาการ ควรจะศึกษาเพิ่มเติมหลักและวิธีปฏิบัติในอารมณ์สมถะกรรมฐานทั้ง ๔๐ ประการให้ละเอียดด้วย         
                    แบบที่ ๒ คือ วิปัสสนายานิกะ  คือ การปฏิบัติวิปัสสนาที่อาศัยขณิกสมาธิ พิจารณาอารมณ์ของวิปัสสนาล้วน คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒  สงเคราะห์เข้าเป็นรูป นาม โดยอาศัยหลักปฏิบัติวิปัสสนาที่ปรากฏใน มหาสติปัฏฐานสูตรโดยสังเขปเท่านั้น เพราะต้องการเป็นเพียงหลักธรรมหรือแนวทางในการศึกษาความสอดคล้อง ของพระปัญญาวโรเท่านั้น หากจะมีการนำข้อมูลไปอ้างอิงและเพื่อลงมือปฏิบัติ ควรจะศึกษาเรื่องวิปัสสนาภูมิ ๖ และหลักปฏิบัติโดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตรเพิ่มเติม
           
            ๕.๒.๒      ข้อเสนอแนะในการทำวิทยานิพนธ์ครั้งต่อไป
                                เพื่อให้การศึกษาในประเด็นเดียวกันนี้ นี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  ผู้ศึกษาควรเริ่มศึกษาในรายละเอียดของหลักธรรมต่าง ๆ  คือ
๑)     ศึกษาวิเคราะห์โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ กับการบรรลุธรรมในพระพุทธ ศาสนาเถรวาท
๒)     ศึกษาหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในโพธิปักขิยธรรม
๓)    ศึกษาหลักการบรรลุธรรมด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนาแบบสมถยานิกะ