สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
การศึกษาเรื่อง ศึกษาคำสอนวิปัสสนาภาวนา
เฉพาะกรณีคำสอนของพระปัญญาวโร มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ
เพื่อศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ศึกษาคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร
และศึกษาความสอดคล้องคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโรกับที่มาในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท
โดยการศึกษาเนื้อหาหลักวิปัสสนาภาวนา ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท
คือ พระไตรปิฎก อรรถกา ฎีกา คัมภีร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นคัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นต้น
และเอกสารคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร เอกสารคำบรรยายภาคภาษาอังกฤษ โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์
ในอุปถัมภ์โครงการทุนเล่าเรียนหลวง สำหรับพระสงฆ์ไทย ระหว่างวันที่
๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ – ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยการแปลเรียบเรียงข้อมูล
ตรวจสอบความถูกต้องเนื้อหา โดยผู้เชี่ยว บรรยายสรุปเชิงพรรณนา
๕.๑ สรุปผลการวิจัย
๕.๑.๑ จากการศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาภาวนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนา
พบว่า วิปัสสนาภาวนา คือ การอบรมจิตเพื่อให้เกิดโลกุตตรปัญญา
ได้แก่มรรคญาณ ผลญาณ
โดยมีแนวทางในการอบรมจิต ๒ แบบ คือ
สมถยานิกะ และวิปัสสนายานิกะ
ก) สมถยานิกะ คือ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
โดยการปฏิบัติสมถะคือ การอบรม จิตให้เกิดสมาธิ ๒ ประการ คือ อุปจารสมาธิ
สมาธิเข้าใกล้เฉียดองค์ฌาน และ อัปปนาสมาธิ สมาธิ แนบแน่นอยู่กับองค์ฌาน ๕ คือ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
โดยผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติสมถะโดย อาศัยอารมณ์สมถะ ๔๐ ประการ จนเกิดวสีภาวะ
๕ ประการ คือ อาวัชชนวสี ชำนาญในการคำนึงถึง
สมาปัชชนวสี ชำนาญในการเข้า
อธิฏฐานวสี ชำนาญในการตั้งมั่น
วุฏฐานวสี ชำนาญในการออก และปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการพิจารณา เมื่อเกิดวสีภาวะทั้ง ๕ แล้ว พระโยคีบุคคลก็ย่อมสามารถยกจิตออกจากองค์ฌาน พิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็นขันธ์ ๕ ได้แก่รูป - นาม ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และหาตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ ทำให้เกิดมรรคจิต ผลจิต ตามลำดับญาณ บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด โดยท่านผู้บรรลุแนวทางนี้ เรียกว่า เจโตวิมุติ ผู้บรรลุด้วยอาศัยการเจริญสมถะเป็นบาทของวิปัสสนา หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมถปุพพังคมวิปัสสนา คือ การเจริญวิปัสสนาโดยบำเพ็ญสมถะก่อน
วุฏฐานวสี ชำนาญในการออก และปัจจเวกขณวสี ชำนาญในการพิจารณา เมื่อเกิดวสีภาวะทั้ง ๕ แล้ว พระโยคีบุคคลก็ย่อมสามารถยกจิตออกจากองค์ฌาน พิจารณาองค์ฌาน โดยความเป็นขันธ์ ๕ ได้แก่รูป - นาม ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และหาตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ ทำให้เกิดมรรคจิต ผลจิต ตามลำดับญาณ บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด โดยท่านผู้บรรลุแนวทางนี้ เรียกว่า เจโตวิมุติ ผู้บรรลุด้วยอาศัยการเจริญสมถะเป็นบาทของวิปัสสนา หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมถปุพพังคมวิปัสสนา คือ การเจริญวิปัสสนาโดยบำเพ็ญสมถะก่อน
ข) วิปัสสนายานิกะ คือ การปฏิบัติที่มีอารมณ์เป็นวิปัสสนาล้วน คือ
ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒
อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อารมณ์ทั้ง ๖
หมวดนี้ เป็นแดนเกิดของปัญญา
เมื่อสงเคราะห์โดยย่อ ได้แก่ รูป และ นาม
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ หาตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ การรับรู้รูป –
นามนี้ จะต้องมีพัฒนาการเกิดขึ้นตามลำดับญาณ เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา เกิดมรรคจิต ผลจิต
บรรลุมรรคผลนิพพานได้ในที่สุด
โดยท่านผู้บรรลุแนวทางนี้ เรียกว่า ปัญญาวิมุติ ผู้บรรลุด้วยอาศัยการเจริญวิปัสสนาล้วน หรือ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาปุพพังคม
คือ การเจริญวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
ที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร คัมภีร์ทีฆนิกายมหาวรรค
พระพุทธองค์แสดงวิธีปฏิบัติวิปัสสนา โดยในหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาล้วนได้ ๓ ปัพพะ
คือ อิริยาปถปัพพะ, สัมปชัญญะ, และธาตุมนสิการปัพพะ ส่วนอานาปานปัพพะ, ปฏิกูลปัพพะ,
และนวสีวถิกาปัพพะ จัดเป็นสมถะปนวิปัสสนา
หมายความว่า จัดเป็นอารมณ์สมถะทำให้เกิดฌานก่อนแล้ว
จึงยกเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภายหลัง หลักปฏิบัติในส่วนของกายานุปัสสนาทั้งหมด
ท่านสงเคราะห์เข้าในรูปขันธ์
สติปัฏฐาน ๓ หมวดที่เหลือ คือ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สงเคราะห์เข้าในเวทนาขันธ์ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สงเคราะห์เข้าในวิญญาณขันธ์ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานสงเคราะห์เข้าในสัญญาและสังขารขันธ์
ทั้ง ๓ หมวดนี้
จัดเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาล้วน ๆ
จากการศึกษาแนวทางการเจริญวิปัสสนาในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท
พบว่า มีแนวทางในการเจริญวิปัสสนา ๒ แบบ คือ สมถยานิกะ และวิปัสสนายานิกะ
แม้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค จะแสดงการหลักการปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตต์
ด้วยมรรคใดมรรคหนึ่ง ใน ๔ แบบนี้ คือ ๑.
สมถปุพพังคมวิปัสสนา
เจริญวิปัสสนามีสมถะนำหน้า
๒.วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ
เจริญสมถะมีวิปัสสนานำหน้า ๓. สมถวิปัสสนายุคนัทธะ เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป ๔.
ธัมมุทธัจจะวิปัสสนา
เจริญวิปัสสนาละความฟุ้งซ่านภายใน
แม้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค
จะแสดงแนวทางการเจริญวิปัสสนาไว้ ๔ แบบ เมื่อศึกษาในคัมภีร์อรรถกถา มโนรถปูรณี
และอังคุตตรฎีกา สารัตถมัญชุสา พบว่า
สงเคราะห์แบบที่ ๓ และ แบบที่ ๔ เข้าใน ๒ แบบข้างต้น คือ
แบบที่ ๑ สมถปุพพังคมะ
เจริญวิปัสสนาที่มีสมถะเป็นเบื้องต้น แสดงไว้ด้วยอำนาจของสมถยานิกะบุคคล แบบที่ ๒ วิปัสสนาปุพพังคมะ
เจริญสมถะที่มีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น แสดงไว้ด้วยอำนาจของวิปัสสนายานิกะบุคคล
คือผู้ที่ได้เจริญวิปัสสนาล้วน จนพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์แล้ว
แล้วมาเจริญฌาน คือ สมาธิ หรือให้สมถะเกิดขึ้นในภายหลัง จนกระทั่งได้สมาบัติ ๘
อย่าง แบบที่ ๓ สมถวิปัสสนายุคนัทธ
เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป
แสดงไว้ด้วยอำนาจการเข้าฌานเมื่อออกจากฌานแล้ว ก็พิจารณาสังขาร ทั้งหลาย
หมายความว่า เข้าปฐมฌานได้ ออกจากปฐมฌานแล้ว ก็พิจารณาสังขารทั้งหลาย
ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว ก็เข้าทุติยฌาน
เป็นลำดับไป แบบที่ ๔
ธัมมุทธัจจะวิปัสสนา
เจริญวิปัสสนาละความฟุ้งซ่านภายใน
ความฟุ้งซ่านภายใน หมายถึง ความเศร้าหมองของวิปัสสนา คือ อุปกิเลส ๑๐
ประการ หมายถึง
ขณะผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนาไปจนกระทั่งถึงอุทยัพพยญาณ หรือ ตีรณปริญญา ถ้าเกิดอุปกิเลสของวิปัสสนา ๑๐
ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น หากไปมนสิการ ถึงอุปกิเลสดังกล่าวนั้น
ก็จะทำให้เกิดความสนใจพอใจในแสงสว่างเป็นต้นนั้น จิตก็จะฟุ้งซ่านตกจากวิปัสสนาวิถีไป
ไม่อาจที่จะเห็นพระไตรลักษณ์ได้โดยชัดเจน ดังนั้นจำเป็นต้องปลูกโยนิโสมนสิการ
ให้ตั้งมั่นอยู่แต่เฉพาะลักษณะของรูปนามเท่านั้นเอง
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า แนวทางการเจริญวิปัสสนา
ที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีแนวทางการเจริญวิปัสสนา ๒ แบบ คือ
สมถยานิกะ และ วิปัสสนายานิกะ โดยสงเคราะห์แบบที่ ๓ และ ๔ ที่ปรากฏในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค
เพราะเมื่อศึกษาถึงอารมณ์ของการปฏิบัติ ก็สงเคราะห์ เข้าใน ๒ แบบข้างต้นดังปรากฏข้อความในอรรถและฎีกา
๕.๑.๒ จากการศึกษาคำสอนวิปัสสนาของพระปัญญาวโร
ที่ปรากฏในเอกสารโครงการฝึกอบรม พระวิปัสสนาจารย์
ในอุปถัมภ์โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ภาคภาษาอังกฤษ โดยผู้ศึกษาได้แปล เรียบเรียง นำเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาตรวจสอบ
พร้อมทั้ง ได้ศึกษาประวัติ ประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร พบว่า
พระปัญญาวโร เป็นชาวออสเตรเลีย
ซึ่งเป็นชนชาติตะวันตกที่มีวัฒนธรรมห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ถึงกระนั้น
ก็ตามด้วยความที่ท่านมีภูมิหลังในการศึกษาด้านมานุษยวิทยาและจิตวิทยา
ทำให้ท่านสนใจแนวทาง คำสอนนักปรัชญา นักจิตวิทยาหลาย ๆ กลุ่ม เมื่อได้รับรู้คำสอนของพระพุทธศาสนา
ทำให้ท่านต้องการศึกษาโดยวิธีการทดลอง
ท่านได้ผ่านการอบรมเรื่องศีล คือ ฝึกหัดกาย วาจา ในฐานะของอุบาสกที่มีจิตอาสา
ช่วยงานวัดและพระพุทธศาสนาในช่วงระยะเริ่มต้น
และเมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมท่านได้เข้าบรรพชาและอุปสมบทในพระพุทธศาสนา มีประสบการณ์การปฏิบัติวิปัสสนาจากหลาย
ๆ อาจารย์ และเดินทาง เพื่อแสวงหาวิธีปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในหลาย ๆ ประเทศ เช่น
อินเดีย ศรีลังกา ไทย พม่า
เมื่อได้รับอาราธนานิมนต์ เป็นพระวิปัสสนาจารย์ โครงการฝึกอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ในอุปถัมภ์ ทุนเล่าเรียนหลวง สำหรับพระสงฆ์ไทย ระหว่างวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๔ – ๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ
ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ตำบลหนองน้ำแดง
อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ท่านได้นำได้นำเสนอคำสอนเรื่องวิปัสสนาภาวนาและวิธีปฏิบัติ ผู้ศึกษาจึงได้รวบรวม และแปล สามารถสรุป
เป็นประเด็นในการศึกษาดังนี้
บทที่ ๑ ขั้นตอนการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเบื้องต้น
บทที่
๒ การส่งอารมณ์
บทที่
๓ หลักการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
บทที่
๔ หลักปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔
บทที่
๕ สติกับสมาธิ
บทที่ ๖ สติสัมปชัญญะ
บทที่
๗ การเกิดหรือไม่เกิดขึ้นของนิวรณ์ ๕
บทที่
๘ อนุสัยกิเลสกิเลสที่แฝงลึกอยู่ในใจ
บทที่ ๙ โพชฌงค์องค์ธรรมแห่งการตื่นรู้
บทที่
๑๐ เมตตาภาวนา
๕.๑.๓ ในการศึกษาความสอดคล้อง
ระหว่างคำสอนวิปัสสนาภาวนาของพระปัญญาวโร กับที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาท ผู้ศึกษาได้กำหนดประเด็นในการศึกษา
โดยอาศัยแนวทางการเจริญวิปัสสนา ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จากการศึกษาพบว่า
พระปัญญาวโร
ได้ให้แนวทางการปฏิบัติตามประสบการณ์ตรงที่ท่านปฏิบัติวิปัสสนา ณ
สำนักมหาสีสาสนยิกต้า ไว้ว่า ตามแนวทางที่ท่านมหาสี สยาดอ
แห่งพม่าได้สั่งสอนไว้นั้น เมื่ออยู่ในท่านั่ง
ผู้ปฏิบัติจะต้องเริ่มด้วยการสังเกตธาตุลมในท้อง ส่วนเมื่ออยู่ในท่าเดินจงกรม
ก็ให้สังเกตดูความเคลื่อนไหว เมื่อเราตามดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นลำดับๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสังเกตดูการหายใจ
ก็จะเห็นว่าลมหายใจนั้นแยกออกเป็นจังหวะๆ ซึ่งมีทั้งความเคลื่อนไหว, แรงกด,
แรงกระเพื่อม และอาการอื่นๆ ที่แสดงตัวให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัด
แม้แต่การก้าวเดินก็แสดงให้เห็นอาการที่แตกต่างอย่างเด่นชัดเช่นกัน
เช่นความรู้สึกเท้าเบาหรือหนักเป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะที่จะเกิดขึ้นกับแต่ละคน ไม่เหมือนกัน
แต่รวมแล้วเรียกว่าสภาวะลักษณะ
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องตามเฝ้าดูในขณะฝึกวิปัสสนาภาวนา
จากการศึกษาความสอดคล้องคำสอนของพระปัญญาวโร
กับการปฏิบัติวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ยังพบว่า ท่านปัญญาวโร
ได้แนะนำวิธีการเจริญเมตตาภานาอีกด้วย เพราะท่านเห็นว่า
การเจริญเมตตาจะมีส่วนช่วยให้มีประสิทธิผลในการปฏิบัติวิปัสสนา การปฏิบัติกรรมฐานแบบเมตตาภาวนา
เป็นการอบรมจิตให้รู้จักเอาชนะเรื่องราวด้านลบใด ๆ ก็ตาม
การภาวนาเช่นนี้จะนำมาซึ่งอารมณ์ความรู้สึกในทางบวก จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบด้วยการพัฒนาคุณภาพของการ
“ยอมรับด้วยใจที่มีเมตตา”
ซึ่งในที่นี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการยอมรับและการเปิดใจให้กว้าง
ซึ่งจะสร้างพื้นที่อันแจ่มใสกว้างขวางขึ้นในใจเรา
อันจะทำให้เรามีจิตที่นุ่มนวลระมัดระวังอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการปฏิบัติเมตตาภาวนาไปพร้อม ๆ กับวิปัสสนาภาวนา
จึงเป็นองค์ส่งเสริมให้แก่นักปฏิบัติ
๕.๒ ข้อเสนอแนะ
๕.๒.๑ ข้อเสนอแนะในการนำข้อมูลไปใช้
ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษามุ่งประเด็นศึกษาเฉพาะแนวทางการเจริญวิปัสสนา
ภาวนาที่มีอารมณ์ ๒ แบบ คือ ๑. แบบสมถยานิกะ คือ อาศัยอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
โดยอาศัยอารมณ์สมถะ ๔๐ ประการ
แต่ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้นำเสนอเพียงหลักการปฏิบัติของ
สมถะที่อาศัยองค์ฌาน พิจารณาองค์ฌานโดยความเป็นพระไตรลักษณ์เท่านั้น มิได้นำเสนอวิธีการปฏิบัติในอารมณ์สมถะทั้ง
๔๐ ประการ ดังนั้น
หากจะมีการนำข้อมูลไปอ้างอิงในเชิงวิชาการ
ควรจะศึกษาเพิ่มเติมหลักและวิธีปฏิบัติในอารมณ์สมถะกรรมฐานทั้ง ๔๐
ประการให้ละเอียดด้วย
แบบที่ ๒ คือ
วิปัสสนายานิกะ คือ
การปฏิบัติวิปัสสนาที่อาศัยขณิกสมาธิ พิจารณาอารมณ์ของวิปัสสนาล้วน คือ ขันธ์ ๕
อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ๑๒ สงเคราะห์เข้าเป็นรูป นาม
โดยอาศัยหลักปฏิบัติวิปัสสนาที่ปรากฏใน มหาสติปัฏฐานสูตรโดยสังเขปเท่านั้น
เพราะต้องการเป็นเพียงหลักธรรมหรือแนวทางในการศึกษาความสอดคล้อง
ของพระปัญญาวโรเท่านั้น หากจะมีการนำข้อมูลไปอ้างอิงและเพื่อลงมือปฏิบัติ
ควรจะศึกษาเรื่องวิปัสสนาภูมิ ๖
และหลักปฏิบัติโดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตรเพิ่มเติม
๕.๒.๒ ข้อเสนอแนะในการทำวิทยานิพนธ์ครั้งต่อไป
เพื่อให้การศึกษาในประเด็นเดียวกันนี้
นี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้ศึกษาควรเริ่มศึกษาในรายละเอียดของหลักธรรมต่าง
ๆ คือ
๑)
ศึกษาวิเคราะห์โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
กับการบรรลุธรรมในพระพุทธ ศาสนาเถรวาท
๒)
ศึกษาหลักปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในโพธิปักขิยธรรม
๓)
ศึกษาหลักการบรรลุธรรมด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนาแบบสมถยานิกะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น